Last updated: 8 Mar 2019 | 2255 Views |
เลือกบริโภคเห็ดหลินจือแดง
ให้ได้ประโยชน์ และดีต่อสุขภาพมากที่สุด
โดย นายแพทย์สมนึก ศิริพานทอง กรรมการสมาคมเซลล์บำบัดไทย
ตอนที่ 1
ในทางการแพทย์แผนจีน จะมีการแบ่งประเภทของยารักษาโรคออกเป็น “ยาสวรรค์” และ “ยามนุษย์” โดย ยาสวรรค์ จะหมายถึง ยาที่ไม่มีพิษ สามารถกินได้อย่างต่อเนื่อง ในที่นี้เห็ดหลินจือนั้นถือได้ว่าเป็นยาสวรรค์ หรือ ยาเกรดสวรรค์ ได้เช่นกัน เพราะเป็นสมุนไพรที่สามารถใช้เป็นตำรับเดี่ยวได้ คือไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายนั่นเอง
มหัศจรรย์ยาสวรรค์…เห็ดหลินจือแดง
ในตำรับยาจีน สมุนไพร หรือ ยา บางตัวเมื่อกินเดี่ยวๆ แล้วอาจจะมีพิษ จึงมีการตั้งให้เป็นจักรพรรดิ (ตัวยาหลัก) ในตำรับไว้ก่อน จากนั้นจึงนำเอาขุนนาง อำมาตย์ (สมุนไพรหรือยาตัวอื่นๆ) มาปรับให้ไม่มีพิษ ดังนั้น ในยาตำรับหนึ่งก็อาจจะมีสมุนไพรหรือตัวยา 3-4 ตัว เช่น โสม ตังกุย และอื่นๆ มาผสมกัน แต่เห็ดหลินจือนั้นสามารถใช้เดี่ยวๆ ได้ และยังมีความปลอดภัยสูงมากอีกด้วย
ในธรรมชาติ เห็ดหลินจือจะขึ้นอยู่ตามขอนไม้ และมีอยู่หลายชนิด สามารถแยกชนิดได้โดยดูจากสีของดอก ซึ่งจะมีทั้งสีแดง ดำ เหลือง ขาว และน้ำเงิน แต่ชนิดที่ถือว่ามีสรรพคุณเป็นยาสูงที่สุดก็คือ สีแดง หรือ เห็ดหลินจือแดง
เห็ดหลินจือแดงเหมือนกัน แต่ทำไมคุณสมบัติทางยาจึงแตกต่างกัน?
ปัจจุบันมีการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์ และ ด้านการเกษตร ทำให้มีการค้นคว้าพัฒนาสายพันธุ์ วิธีการปลูกเห็ดหลินจือมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศจีนจะมีการค้นคว้าพัฒนาสายพันธุ์เห็ดหลินจือธรรมชาติ ซึ่งจากการศึกษาด้านภูมิศาสตร์จะพบว่า พื้นที่ภูเขาในช่วงที่เป็นรอยต่อระหว่างประเทศจีนกับเกาหลีนั้น ถือเป็นแหล่งที่มีแร่ธาตุเยอมาเนียมสูงมาก มีอากาศเย็นตลอดปี น้ำและดินก็มีแร่ธาตุธรรมชาติอยู่มาก จึงมักพบว่าสมุนไพรที่เก็บมาจากบริเวณนี้จะมีคุณสมบัติในทางยาสูงกว่าแหล่งปลูกในสถานที่อื่นๆ
เรื่องสายพันธุ์ เห็ดหลินจือสีแดงนับว่ามีสรรพคุณทางยาสูงที่สุด แต่สิ่งที่ทำให้เห็ดหลินจือแดงมีความแตกต่างกันไปก็คือ แหล่งปลูก ด้วยสภาพดิน น้ำ แร่ธาตุ และวิธีการปลูกที่แตกต่างกัน จึงทำให้ได้คุณสมบัติทางยาที่แตกต่างกันไปด้วย ซึ่งเห็ดหลินจือแดงสามารถปลูกในขี้เลื่อยก็ได้ แต่จะไม่ได้สารอาหารที่เป็นยา ในขณะที่มณฑลจี๋หลินมีวิธีการปลูกที่ได้ผลดีคือ การปลูกเห็ดหลินจือในขอนไม้ที่มีอายุประมาณ 25 ปี โดยการเอาขอนไม้มาเจาะรูแล้วใส่สายพันธุ์เห็ด หรือเชื้อเห็ดเข้าไป จากนั้นนำไปฝังไว้ในดินเพื่อให้เห็ดหลินจือดูดแร่ธาตุจากดิน พร้อมทั้งรดด้วยน้ำแร่ธรรมชาติอีกด้วย
เห็ดหลินจือแดง…ส่วนไหนใช้บำรุงสุขภาพ ส่วนไหนใช้เป็นยา?
ส่วนของเห็ดหลินจือแดงที่ใช้เป็นยาจะแบ่งเป็น 2 ส่วนสำคัญ ได้แก่
ดอกเห็ด สามารถนำไปสกัดเป็นยาได้ สารสำคัญส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มโพลีแซคคาไรด์ที่ชื่อว่า เบต้ากลูแคน (Beta Glucan) นิยมนำมาเฉือนเป็นชิ้น ชง หรือ ต้ม กับน้ำดื่มเป็นน้ำชา
สปอร์ เป็นส่วนที่อยู่ใต้ดอกเห็ด ลักษณะเป็นเม็ดขาวๆ เล็กๆ ซึ่งในกระบวนการผลิตยาสมุนไพร จะมีการแยก ดอกเห็ด กับ สปอร์เห็ด ออกจากกัน โดยดอกเห็ด 1,000 กิโลกรัม หรือ 1 ตัน จะสามารถสกัดสปอร์ได้เพียงแค่ 1 กิโลกรัมเท่านั้น ทว่าสารสำคัญทางยาที่มีคุณสมบัติในการบำบัดโรคส่วนใหญ่นั้นจะอยู่ที่ สปอร์ ดังนั้น หากต้องการบริโภคเห็ดหลินจือแดงเพื่อมุ่งหวังดูแลสุขภาพ แก้ภูมิแพ้ ก็ควรบริโภคชนิดที่สกัดจากดอก แต่สำหรับผู้ป่วย อาทิ โรคมะเร็ง ที่ต้องฉายแสง ทำเคมีบำบัด แนะนำให้บริโภคชนิดที่เป็นสปอร์จะได้ผลดีมากกว่า เพราะในสปอร์จะมีสารกลุ่มไตรเทอร์พีนอยด์ค่อนข้างสูงกว่าในดอกเห็ด
เห็ดหลินจือแดงช่วยผู้ป่วยมะเร็ง และผู้ป่วยอื่นๆ ได้อย่างไร?
ปัจจุบันมีผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งและภูมิแพ้มากขึ้น ซึ่งสารสำคัญทางยาในเห็ดหลินจือแดง เช่น เบตากลูแคน หรือไตรเทอร์ฟีน นั้น ก็สามารถช่วยบำบัด หรือบรรเทาอาการของโรคได้เพราะมีคุณสมบัติที่ดี คือ
ทำให้ร่างกายต่อต้านมะเร็งได้ ในกรณีที่คนไข้มีการผ่าตัด ทำเคมีบำบัด หรือ ฉายแสง กลไกในการรักษาเหล่านี้จะมีผลต่อตับ ทั้งนี้ มีงานวิจัยยืนยันว่าหากผู้ป่วยรับประทานเห็ดหลินจือแดง ควบคู่กับการรักษาแผนปัจจุบัน จะช่วยให้ปริมาณเม็ดเลือดขาวจะไม่ตก ทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นกว่าปกติ และเนื่องจากปริมาณสารสำคัญคือ ไตรเทอร์ฟีน มีอยู่มากในสปอร์เห็ดหลินจือ ดังนั้น ในกรณีของผู้ป่วยจึงแนะนำให้บริโภคในส่วนสปอร์จะได้ผลชัดเจนมากกว่า
และยังทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ระบบการเผาผลาญดีขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าในกรณีของผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือ ภูมิแพ้ หากบริโภคเห็ดหลินจือแดงก็จะมีส่วนทำให้มีอาการดีขึ้นด้วย
“เห็ดหลินจือแดงจะมีตัวยา ทั้งในดอกเห็ด และในสปอร์เห็ดหลินจือ แต่ใน สปอร์ จะมีปริมาณสารสำคัญคือ ไตรเทอร์ฟีน ซึ่งเป็นสารที่เป็นตัวออกฤทธิ์ทางยาสูงกว่าใน ดอก ทำให้จุดประสงค์การการบริโภคแตกต่างกัน”
มะเร็งกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ
ในร่างกายของเราจะมีเซลล์ต้านทาน Anchor ที่เรียกว่า “เซลล์แมคโครฟาจ“ (Macrophage) ถือเป็นเซลล์ภูมิต้านทานด่านแรกที่คอยกำจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย
คำถาม คือ….ทำไมเซลล์แมคโครฟาจจึงไม่กำจัดมะเร็ง?
จากการศึกษาพบว่า เซลล์มะเร็งจะมีแมคโครฟาจไปกองอยู่ข้างๆ และเซลล์มะเร็งจะปล่อยสารบางอย่างออกมาที่ทำให้แมคโครฟาจไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ แต่ถือเป็นความแปลกที่ธรรมชาติกำหนดให้เซลล์แมคโครฟาจนั้นมีตัวรีเซปเตอร์ หรือ ตัวรับที่เรียกว่า “เบต้ากลูแคนรีเซปเตอร์” อยู่ในร่างกายมนุษย์ที่ไม่สามารถสร้างเบต้ากูลแคนเองได้ ในขณะเดียวกันธรรมชาติก็สร้างความมหัศจรรย์โดยให้เห็ดหลินจือแดงมีเบตากลูแคน เพื่อให้คนได้นำมารับประทาน และได้รับสารเบตากลูแคนเพื่อใช้ในการกระตุ้นให้แมคโครฟาจกินเซลล์มะเร็ง
8 Mar 2019
6 Mar 2020
8 Mar 2019